ประวัติและปฏิปทา
พระครูมงคลคณานุรักษ์
(หลวงปู่มหาผิน สุมโน)
วัดโตนด
ต.หลังสวน อ.หลังสวน จ.ชุมพร
พระอรหันต์ปัจเจกภูมิ หลวงปู่มหาผิน สุมโน
พระครูมงคลคณานุรักษ์
นามเดิมชื่อ ผิน นามสกุล กาฬบุตร
เกิดเมื่อ วันเสาร์ ขึ้น15ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะโรง
ตรงกับวันที่ 9 เดือน ธันวาคม พุทธศักราช 2459
บิดาชื่อ นายแย้ กาฬบุตร
มารดาชื่อ นางคง กาฬบุตร
ณ บ้านเลขที่ 7 หมู่ที่1 ตำบล นาพญา อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร
ท่านมีพี่น้องทั้งหมด 7 คน ท่านเป็นคนที่ 3 ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด
ในสมัยนั่นหลวงปู่เล่าว่า ได้เรียนจบชั้นศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนวัดชลธารวดี อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ซึ่งเป็นการศึกษาในระดับสูงที่สุดในสมัยนั้นในปีพุทธศักราช 2473 ได้เข้ารับบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดนาบุญ ตำบลนาพญา อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร จนอายุครบ 21 ปี จึงได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พุทธศักราช 2480 ณ วัดนาบุญ ตำบลนาพญา อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร โดยมี พระภัทรธรรมธาดา วัดสามแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการหีด ธัมมธโร วัดนาบุญ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายานามว่า สุมโน แปลว่า พระผู้มีใจดี
หลักจาก อุปสมบทแล้ว ก็ได้เดินทางขึ้นกรุงเทพมหานคร หลังจากอุปสมบทได้ 1 อาทิตย์เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม ณ วัดสัมพันธ์วงศ์ กรุงเทพมหานคร ได้ได้พักที่วัดแห่งนี้ กับพระมหามานิต ถาวโร ปัจจุบันคือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ รูปปัจจุบัน และได้ศึกษาอยู่ร่วมชั้นเรียนเดียวกันสมัยเรียนบาลี กับ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก จนมีความใกล้ชิด สนิท เป็นพระสหายในที่สุด
การเล่าเรียนนั้น ยากมากสำหรับเรา เรียนมหาเปรียญ เรียนถึง 8 ปี จนจบเปรียญ3ประโยค ด้วยความยากลำบากในการเรียน และด้วยอาศัย นิสัยสัญญาเดิม จิตก็คิดแต่การหลุดพ้นจากกองทุกข์ จึงได้เดินทางออกจากกรุงเทพมหานคร เดินทางไปทิศตะวันออกของประเทศสู่จังหวัดชลบุรี เดินลัดตามป่าเขา ค่ำไหน ปักกลด ภาวนานั่น ตอนแรกจิตก็คิดว่า มาทำไม มาแล้วลำบากมาก คิดเดินกลับ แต่ใจเป็นตัวรู้ จิตตื่น เมื่อก่อนพ่อแม่เราก็ทำนา เราเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย มาอยู่แบบนี้ไม่ได้ก็อาย ควายสิ พระพุทธเจ้าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ ไม่เคยลำบาก เหมือนเรา ท่านยังทำได้ เราทำไม่จะทำไม่ได้ จิตก็คิดอยู่ในใจเสมอ
วันแรกที่อยู่กลางป่าเขา เงียบมาก มืดมาก ขณะนั่นอาตมายังไม่เข้าใจเรื่องภาวนาเลยด้วยซ้ำ นั่งก็กลัวไปหมด กลัวเสือ กลัวผี และกลัวงู สุดท้ายความกลัวก็ปรากฏ เมื่อนั่งภาวนา ดูลมหายใจ เข้าออก ภาวนา พุทโธ นั้น ได้ยินเสียง มีอะไรลากใบไม้ เป็นทางยาว เราขณะนั่นใจไม่ดีแล้ว กลัวว่าอะไร เสียงนั่นเริ่มชัดขึ้น ใกล้เข้ามาหาเรามากขึ้น ขณะนั้น อาตมาก็เริ่มตั้งสติ ตายเป็นตาย อะไรก็ช่าง สุดท้าย จิตนิ่งมาก สงบมาก สงบจริงๆ ไม่มีอะไรฟุ่งเลยในจิต นั่งภาวนา คืนแรก เป็นแบบนี้ จิตก็บอกว่า ต้องเอาอีก แบบนี้ อารมณ์แบบนี้ คืออะไร เมื่อสว่างก็เริ่มออกบิณฑบาต ไม่ได้อะไรเลย เดินวนอยู่ในไป ออกไม่ถูก จิตก็กลัวอีก คือ กลัวตาย ข้าวก็ไม่ได้ จะทำอย่างไร มีแต่เดินกลับไปที่เดิม 3 วันแรกไม่ได้ฉันอะไรเลย หาทางออกจากป่าไม่ถูก ว่าหมู่บ้านอยู่ตรงไหน จากนั่น ก็อาตมาก็ได้ แหงนมองท้องฟ้า ดูว่าดวงอาทิตย์ ขึ้นฝั่งไหน ก็มุ่งหน้าไปทางดวงอาทิตย์ขึ้น เรื่อยๆ ตอนนั่นอาตมายังเชื่อเรื่องดวง โชค อยู่ บอกว่าไปทางดวงอาทิตย์ขึ้น เผื่ออะไรจะดีขึ้น
สุดท้ายดีขึ้นจริงๆ เห็นหมู่บ้าน เล็กๆ อยู่ไม่ไกล เลยปักกลดอยู่หากจากหมู่บ้านไม่เกิน 1 กิโล เพื่อง่ายต่อการบิณฑบาต รุ่งเช้าเมื่อบิณฑบาตเสร็จ ก็กลับมาฉัน ได้ข้าวกับไข่ต้ม และยอดผักสด มาฉัน อาตมาภาพก็ปักกลดอยู่ในถ้ำใกล้หมู่บ้านนั้น 2 เดือน ต่อมาก็เดินเที่ยวอยู่ตามป่าเขา เพราะไม่กลัวอะไรแล้ว ไม่คุยกับใคร อยู่คนเดียว อยู่กับจิตกับใจ เมื่อถึงเวลาอันสมควรแล้ว ก็เดินทางแสวงหาครูอาอาจารย์ต่อ เพราะเท่าที่รู้ต้องมีครู ได้เดินเท้าไปเรื่อยๆ จนไปพบสหธรรมิก 1 รูป คือ พระชาติ ไม่ทราบฉายา ท่านเป็นชาวจันทบุรี เมื่อพบเจอแล้วก็ได้สนทนาธรรมกัน จนมีความปีติใจทั้งสอง จึงได้ชักชวนกันไปภาคอีสาน เพราะกิตติศัพท์ ของพระอาจารย์มั่น นั่น ได้โด่งดังในหมู่สงฆ์ มาก จิตอยู่กับท่านว่า หน้าตาอย่างไร ทำไม่ถึงดังขนาดนี้ ใจอยากรู้มาก จึงได้เดินทางขึ้นภาคอีสาน แต่ไม่รู้ว่าท่านอยู่จังหวัดใด ระหว่างเดินทางได้พบเสือบ้าง ช้างป่า หมีป่า และที่สำคัญ งูจงอางขนาดเท่าคน ขดอยู่ในถ้ำ ตอนแรกตั้งใจว่า จะไปพักกันในถ้ำ แต่ก็ไม่สามารถไปพักในถ้ำได้ เพราะงูจงอาง ใหญ่จริงๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ในถ้ำนั่น เราเลย ปักกลดอยู่หน้าถ้ำนั่น ประมาณตี 3 งูจงอางนั่น ส่งเสียงขู่ คล้ายกับเห็นเราเดินจงกรมอยู่ปากถ้ำนั่น ใจก็แผ่เมตตาไปอย่างไม่มีประมาณ สุดท้ายเสียงเงียบ แต่เขาเลื้อยผ่านไปอย่างช้าๆ เรื่อยๆ ความยาวประมาณ 30 เมตร เห็นจะได้
หลวงปู่ก็ได้เดินทางผ่านป่าเขาสำเนาไพร เพื่อหวังได้พบพระอาจารย์มั่นให้ได้ เดินจากจันทบุรี ไป ถึง สกลนคร ใช้เวลา 1 เดือน นิดๆ ระหว่างการเดินทางนั่น ได้พบสหธรรมมิกมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นคณะใหญ่ เพราะมีจุดหมายเดียวกันคือ พระอาจารย์มั่น ขณะไปนั้น มีพระภาคใต้เพียงหลวงปู่รูปเดียวเท่านั่น เมื่อไปถึงสกลนครก็ได้หลวงปู่มั่น จริงๆ
เมื่อพบเห็นท่านแล้ว ใจอิ่ม ใจพองโต น้ำตาไหล หลวงปู่ก้มกราบท่านด้วยความเคารพยิ่ง ขณะที่กราบ จิตก็คิดไปว่า ทำไมท่านผิวกายผ่องใส เช่นนี้ ขนาดท่านมีอายุแล้ว เสียงพระอาจารย์มั่น ก็ตอบอย่าง เมตตาขึ้นว่า เมื่อจิตผ่องใส กายสังขาร ก็จะผ่องใสไปด้วย ทุกอย่างไปด้วยจิต ขณะนั้นจิต ก็สว่างจ้าไปหมด อาตมาภาพไม่ได้คิดอะไรเลยเรื่องโลกๆ จิตหวังถึงพระนิพพานอย่างเต็มกำลัง
หลังจากนั้น หลวงปู่ก็ได้รับเมตตาจากพระอาจารย์มั่น ให้บีบ คลายเส้นถวายด้วย และได้พักภาวนากับพระอาจารย์มั่น1พรรษา ณ บ้านหนองลาด อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เมื่อภาวนาได้ดีแล้ว หลวงปู่จึงได้กราบลาท่านพระอาจารย์มั่น เพื่อเดินทางไปแสวงหาสถานที่ภาวนา ที่อื่นต่อไป เพราะขณะนั่น พระเณร ญาติโยม มามาก จนพระเก่าๆที่มีกำลังจิตพอแล้วก็ออกไปเพื่อภาวนา เพื่อให้พระที่มาใหม่ได้มีโอกาสพักเพื่อศึกษาธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่น ด้วย
ระหว่างเดินทางออกจากสกลนคร ก็แวะจังหวัดนั่นจังหวัดนี้ ทางภาคอีสาน หลวงปู่ได้เดินย้อนกลับมาทางจันทบุรีอีกครั้ง จนถึงจังหวัดตราด และได้ไปปักกลดภาวนา ณ ถ้ำเขาสมิง หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ถ้ำเขาสมิงนี้มีลักษณะเป็นเขาเตี้ย ๆ อยู่ลูกหนึ่ง อยู่ห่างจากที่ตั้ง อำเภอเขาสมิงปัจจุบันนี้ประมาณ 3 กิโลเมตร บรรยากาศเหมาะอย่างยิ่งแก่การภาวนา หลวงปู่จึงได้ เลือกสถานที่นี้ภาวนา จนในวันที่7ของการพักภาวนา อยู่ที่นี่ หลวงปู่ ได้พบความอัศจรรย์ แห่งจิต ขณะภาวนา ว่า ได้เห็นพระอรหันต์ เป็แสนๆล้านรูป นั่งอยู่ตรงหน้า แต่ทำไม่เราถึงไปนั่งตรงนั้นไม่ได้ จิตก็เริ่มพิจารณาธรรมะของสัตบุรุษ ว่า เป็นเช่นไรหนอ เราไม่ได้ละเลยการปฎิบัติ ทรงในศีลสังวร เสมอ จนจิตพิจารณาย้อนไปยังบุปเพชาติ จึงเห็นว่า ได้ปรารถนาพระปัจเจกพุทธเจ้าไว้ หลังจากนั่น ท่านจึงได้ตั้งจิต รวมเป็นกำลังเดียว น้อมจิตสักการะธรรม ขอถอนจากการปรารถนาพระปัจจเกพุทธเจ้าเถิด บัดนั่น ท่านเล่าว่า เสียงที่เกิดขึ้นในจิต ดังสนั่น เหมือนฟ้าผ่ามากลางกาย แผ่นดินเหมือนโลกนี้จะพังให้ได้ กายหายไปเหลือแต่จิต ที่สว่างจ้า เหมือนแสงอาทิตย์ นับประมาณมิได้ ใจผ่องใส หาอะไรเปรียบเสมอเหมือนไม่ได้แล้ว พระนิพพาน เป็นบรมสุข อันเกษมอย่างนี้หรือ
จนปีพุทธศักราช 2498 ถึง 2502 ท่านดำริกับหลวงปู่วิริยังค์ สิรินธโร วัดธรรมมงคล กรุงเทพมหานครว่า ท่านวิริยังค์ อาตมาภาพสร้างในใจสมบูรณ์แล้ว พร้อมที่สร้างภายนอกแล้ว หลังจากนั้นหลวงปู่จึงได้ชักชวน หลวงปู่วิริยังค์ สมัยนั้น มาร่วมสร้างโบสถ์กับท่าน ณ วัดสารนารถธรรมาราม อำเภอแกลง จังหวัด ระยอง และเสนาสนะอื่นๆอีกหลายอย่าง และได้อาราธนานิมนต์ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ซึ่งหลวงปู่ให้ความเคารพว่าเป็นพระอาจารย์ของท่าน และสหธรรมิก อีกอาทิเช่น
หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
หลวงปู่ขาว อนาลโย
หลวงปู่คำดี ปภาโส
หลวงปู่คำดี ปัญโญภาโส
หลวงปู่มหาปิ่น ปัญญาพโล
มาร่วมสวดฉลองอุโบสถ หลังจากสร้างเสนาสนะ ระหว่างนั้น ท่านได้ชักชวนหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และหมู่คณะว่า อาตมาภาพ ได้รู้แล้ว เห็น ขอความเมตตาครูอาจารย์ ได้โปรดลงภาคใต้ เพื่อโปรดชาวภาคใต้ ให้รู้ธรรมะของสัตบุรุษ ด้วยเถิดอาตมาภาพขอเป็นผู้นำทางกองทัพธรรมสายพระอาจารย์มั่น ลงภาคใต้เอง เมื่อทุกอย่างสมบูรณ์แล้ว ท่านอาศัย ช่วงเช้ามืด ช่วงออกไปบิณฑบาต เพื่อหนี ออกจากวัดที่นั่น เพราะ มีชาวบ้านและคณะสงฆ์ต้องการให้ท่านเป็นเจ้าอาวาส แต่ท่านไม่ต้องการ จึงได้หนีออกจากวัดสารนารถธรรมาราม เพื่อมุ่งหน้าสู่บ้านเกิด อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เพื่อพักภาวนาและผักผ่อนก่อน โดย คณะกองทัพธรรมได้พักบนยอดเขา ณ วัดเสกขาราม อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร และ เดินทางลงจังหวัด พังงา กระบี่ ภูเก็ต เพื่อตีทัพธรรม ตอนล่างของภาคใต้ก่อนและค่อยขยับขึ้นมาถึงชุมพร แต่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่ทางภาคใต้ ยังไม่เข้าใจกับการสร้างความมั่นคงภายใน ความมั่นคงของจิต ให้แข็งแรง ไม่หวั่นไหว ต่อสภาวะโลก ระหว่างลงภาคใต้นั่น ถึงแม้จะมีพระภาคใต้คือหลวงปู่ลงไปด้วย เพื่อสื่สาร ภาษาใต้กับคนใต้ ก็ยังโดนเอาก้อนหินปา ไล่ตี โดนขับไล่ ออกจากพื้นที่จังหวัดดังกล่าว จนหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี บอกว่า เราต้องอดทน อดข้าว อดน้ำ กลางป่ามาแล้ว แค่นี้ เราต้องอดทนให้ได้ จนในที่สุด ความขันติ ความอดทนนี้ เอง จนทำให้กองทัพธรรมสายพระอจารย์มั่น ตีภาคใต้ได้สำเร็จ ต่อมา ท่านจึงได้กราบลาพระอาจารย์กลับจังหวัดชุมพร บ้านเกิดก่อน แต่เมื่อท่านเดินทางมาถึงก็ต้องมีเหตุให้มาเป็นเจ้าอาวาส ที่วัดเสกขาราม อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร อยู่ดี ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2503 ถึงปี 2523
ต่อมาท่านได้ลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาส ไปสร้างสำนักปฎิบัติธรรม สวนป่านาพญาธรรมาราม เพื่อให้เป็นสถานที่พักภาวนาของพระภิกษุและญาติโยม และในปีพุทธศักราช 2531 ถึง 2555 ได้มาดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดโตนด อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ต่อมาในปี พุทธศักราช 2536 ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอหลังสวน ธรรมยุติ ชั้นเอก ในราชทินนาม พระครูมงคลคณานุรักษ์
พระครูมงคลคณานุรักษ์ (หลวงปู่มหาผิน สุมโน) นั่น เป็นพระเถระผู้มีวินัยอันเคร่งครัด ท่านเคยกล่าวกับศิษย์ท่านหนึ่งว่า พระเดี๋ยวนี้ ไม่ค่อยสนใจศีลข้อเล็กน้อยๆ บอกว่าไม่เป็นไร เราเกิดมาจะตายแล้ว ใบไม้หล่นร่วง ไม่เห็นมีใครเอาไปติดได้อีก ศีลก็เหมือนกัน เมื่อร่วงแล้ว ปลงไม่ได้ มีแต่ทำตัวเองให้เป็นปกติของใจไม่ให้ผิดอีก ก็เหมือนรอให้แตกใบอ่อนออกมาใหม่ อะไรที่ไหนได้ปัจจุบัน พระส่วนใหญ่ ถ้าเป็นต้นไม่ไม่มีใบเลย หลวงปู่ท่านเป็นพระที่สมถะ เรียบง่าย สัดโดษมีความเมตตายิ่ง กับทุกท่านที่เข้าพบ ท่านเป็นพระมหาเถระผู้ชรา ที่จิตใจเปี่ยมไปด้วยเมตตาอย่างหาที่สุดมิได้ แม้แต่เล็บท่านที่ลูกศิษย์ท่านได้เก็บไว้ ก็แปรกลายเป็นพระธาตุ สมัยขณะท่านทรงธาตุขันธ์อยู่
องค์หลวงปู่ได้เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2555 เวลา 21.16 นาที ณ โรงพยาบาลหลังสวน อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ด้วยสิริอายุ 95 ปี 11 เดือน 11วัน และได้ทำการถวายพระราชทานเพลิงสรีระสังขารหลวงปู่มหาผิน สุมโน เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พุทธศักราช 2555 หลังจากถวายพระราชทานเพลิงแล้วนั้น อัฐิธาตุได้แปรสภาพเป็นพระธาตุอย่างไม่มีข้อสงสัย
พระครูมงคลคณานุรักษ์
(หลวงปู่มหาผิน สุมโน)
วัดโตนด
ต.หลังสวน อ.หลังสวน จ.ชุมพร
พระอรหันต์ปัจเจกภูมิ หลวงปู่มหาผิน สุมโน
พระครูมงคลคณานุรักษ์
นามเดิมชื่อ ผิน นามสกุล กาฬบุตร
เกิดเมื่อ วันเสาร์ ขึ้น15ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะโรง
ตรงกับวันที่ 9 เดือน ธันวาคม พุทธศักราช 2459
บิดาชื่อ นายแย้ กาฬบุตร
มารดาชื่อ นางคง กาฬบุตร
ณ บ้านเลขที่ 7 หมู่ที่1 ตำบล นาพญา อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร
ท่านมีพี่น้องทั้งหมด 7 คน ท่านเป็นคนที่ 3 ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด
ในสมัยนั่นหลวงปู่เล่าว่า ได้เรียนจบชั้นศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนวัดชลธารวดี อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ซึ่งเป็นการศึกษาในระดับสูงที่สุดในสมัยนั้นในปีพุทธศักราช 2473 ได้เข้ารับบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดนาบุญ ตำบลนาพญา อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร จนอายุครบ 21 ปี จึงได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พุทธศักราช 2480 ณ วัดนาบุญ ตำบลนาพญา อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร โดยมี พระภัทรธรรมธาดา วัดสามแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการหีด ธัมมธโร วัดนาบุญ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายานามว่า สุมโน แปลว่า พระผู้มีใจดี
หลักจาก อุปสมบทแล้ว ก็ได้เดินทางขึ้นกรุงเทพมหานคร หลังจากอุปสมบทได้ 1 อาทิตย์เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม ณ วัดสัมพันธ์วงศ์ กรุงเทพมหานคร ได้ได้พักที่วัดแห่งนี้ กับพระมหามานิต ถาวโร ปัจจุบันคือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ รูปปัจจุบัน และได้ศึกษาอยู่ร่วมชั้นเรียนเดียวกันสมัยเรียนบาลี กับ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก จนมีความใกล้ชิด สนิท เป็นพระสหายในที่สุด
การเล่าเรียนนั้น ยากมากสำหรับเรา เรียนมหาเปรียญ เรียนถึง 8 ปี จนจบเปรียญ3ประโยค ด้วยความยากลำบากในการเรียน และด้วยอาศัย นิสัยสัญญาเดิม จิตก็คิดแต่การหลุดพ้นจากกองทุกข์ จึงได้เดินทางออกจากกรุงเทพมหานคร เดินทางไปทิศตะวันออกของประเทศสู่จังหวัดชลบุรี เดินลัดตามป่าเขา ค่ำไหน ปักกลด ภาวนานั่น ตอนแรกจิตก็คิดว่า มาทำไม มาแล้วลำบากมาก คิดเดินกลับ แต่ใจเป็นตัวรู้ จิตตื่น เมื่อก่อนพ่อแม่เราก็ทำนา เราเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย มาอยู่แบบนี้ไม่ได้ก็อาย ควายสิ พระพุทธเจ้าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ ไม่เคยลำบาก เหมือนเรา ท่านยังทำได้ เราทำไม่จะทำไม่ได้ จิตก็คิดอยู่ในใจเสมอ
วันแรกที่อยู่กลางป่าเขา เงียบมาก มืดมาก ขณะนั่นอาตมายังไม่เข้าใจเรื่องภาวนาเลยด้วยซ้ำ นั่งก็กลัวไปหมด กลัวเสือ กลัวผี และกลัวงู สุดท้ายความกลัวก็ปรากฏ เมื่อนั่งภาวนา ดูลมหายใจ เข้าออก ภาวนา พุทโธ นั้น ได้ยินเสียง มีอะไรลากใบไม้ เป็นทางยาว เราขณะนั่นใจไม่ดีแล้ว กลัวว่าอะไร เสียงนั่นเริ่มชัดขึ้น ใกล้เข้ามาหาเรามากขึ้น ขณะนั้น อาตมาก็เริ่มตั้งสติ ตายเป็นตาย อะไรก็ช่าง สุดท้าย จิตนิ่งมาก สงบมาก สงบจริงๆ ไม่มีอะไรฟุ่งเลยในจิต นั่งภาวนา คืนแรก เป็นแบบนี้ จิตก็บอกว่า ต้องเอาอีก แบบนี้ อารมณ์แบบนี้ คืออะไร เมื่อสว่างก็เริ่มออกบิณฑบาต ไม่ได้อะไรเลย เดินวนอยู่ในไป ออกไม่ถูก จิตก็กลัวอีก คือ กลัวตาย ข้าวก็ไม่ได้ จะทำอย่างไร มีแต่เดินกลับไปที่เดิม 3 วันแรกไม่ได้ฉันอะไรเลย หาทางออกจากป่าไม่ถูก ว่าหมู่บ้านอยู่ตรงไหน จากนั่น ก็อาตมาก็ได้ แหงนมองท้องฟ้า ดูว่าดวงอาทิตย์ ขึ้นฝั่งไหน ก็มุ่งหน้าไปทางดวงอาทิตย์ขึ้น เรื่อยๆ ตอนนั่นอาตมายังเชื่อเรื่องดวง โชค อยู่ บอกว่าไปทางดวงอาทิตย์ขึ้น เผื่ออะไรจะดีขึ้น
สุดท้ายดีขึ้นจริงๆ เห็นหมู่บ้าน เล็กๆ อยู่ไม่ไกล เลยปักกลดอยู่หากจากหมู่บ้านไม่เกิน 1 กิโล เพื่อง่ายต่อการบิณฑบาต รุ่งเช้าเมื่อบิณฑบาตเสร็จ ก็กลับมาฉัน ได้ข้าวกับไข่ต้ม และยอดผักสด มาฉัน อาตมาภาพก็ปักกลดอยู่ในถ้ำใกล้หมู่บ้านนั้น 2 เดือน ต่อมาก็เดินเที่ยวอยู่ตามป่าเขา เพราะไม่กลัวอะไรแล้ว ไม่คุยกับใคร อยู่คนเดียว อยู่กับจิตกับใจ เมื่อถึงเวลาอันสมควรแล้ว ก็เดินทางแสวงหาครูอาอาจารย์ต่อ เพราะเท่าที่รู้ต้องมีครู ได้เดินเท้าไปเรื่อยๆ จนไปพบสหธรรมิก 1 รูป คือ พระชาติ ไม่ทราบฉายา ท่านเป็นชาวจันทบุรี เมื่อพบเจอแล้วก็ได้สนทนาธรรมกัน จนมีความปีติใจทั้งสอง จึงได้ชักชวนกันไปภาคอีสาน เพราะกิตติศัพท์ ของพระอาจารย์มั่น นั่น ได้โด่งดังในหมู่สงฆ์ มาก จิตอยู่กับท่านว่า หน้าตาอย่างไร ทำไม่ถึงดังขนาดนี้ ใจอยากรู้มาก จึงได้เดินทางขึ้นภาคอีสาน แต่ไม่รู้ว่าท่านอยู่จังหวัดใด ระหว่างเดินทางได้พบเสือบ้าง ช้างป่า หมีป่า และที่สำคัญ งูจงอางขนาดเท่าคน ขดอยู่ในถ้ำ ตอนแรกตั้งใจว่า จะไปพักกันในถ้ำ แต่ก็ไม่สามารถไปพักในถ้ำได้ เพราะงูจงอาง ใหญ่จริงๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ในถ้ำนั่น เราเลย ปักกลดอยู่หน้าถ้ำนั่น ประมาณตี 3 งูจงอางนั่น ส่งเสียงขู่ คล้ายกับเห็นเราเดินจงกรมอยู่ปากถ้ำนั่น ใจก็แผ่เมตตาไปอย่างไม่มีประมาณ สุดท้ายเสียงเงียบ แต่เขาเลื้อยผ่านไปอย่างช้าๆ เรื่อยๆ ความยาวประมาณ 30 เมตร เห็นจะได้
หลวงปู่ก็ได้เดินทางผ่านป่าเขาสำเนาไพร เพื่อหวังได้พบพระอาจารย์มั่นให้ได้ เดินจากจันทบุรี ไป ถึง สกลนคร ใช้เวลา 1 เดือน นิดๆ ระหว่างการเดินทางนั่น ได้พบสหธรรมมิกมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นคณะใหญ่ เพราะมีจุดหมายเดียวกันคือ พระอาจารย์มั่น ขณะไปนั้น มีพระภาคใต้เพียงหลวงปู่รูปเดียวเท่านั่น เมื่อไปถึงสกลนครก็ได้หลวงปู่มั่น จริงๆ
เมื่อพบเห็นท่านแล้ว ใจอิ่ม ใจพองโต น้ำตาไหล หลวงปู่ก้มกราบท่านด้วยความเคารพยิ่ง ขณะที่กราบ จิตก็คิดไปว่า ทำไมท่านผิวกายผ่องใส เช่นนี้ ขนาดท่านมีอายุแล้ว เสียงพระอาจารย์มั่น ก็ตอบอย่าง เมตตาขึ้นว่า เมื่อจิตผ่องใส กายสังขาร ก็จะผ่องใสไปด้วย ทุกอย่างไปด้วยจิต ขณะนั้นจิต ก็สว่างจ้าไปหมด อาตมาภาพไม่ได้คิดอะไรเลยเรื่องโลกๆ จิตหวังถึงพระนิพพานอย่างเต็มกำลัง
หลังจากนั้น หลวงปู่ก็ได้รับเมตตาจากพระอาจารย์มั่น ให้บีบ คลายเส้นถวายด้วย และได้พักภาวนากับพระอาจารย์มั่น1พรรษา ณ บ้านหนองลาด อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เมื่อภาวนาได้ดีแล้ว หลวงปู่จึงได้กราบลาท่านพระอาจารย์มั่น เพื่อเดินทางไปแสวงหาสถานที่ภาวนา ที่อื่นต่อไป เพราะขณะนั่น พระเณร ญาติโยม มามาก จนพระเก่าๆที่มีกำลังจิตพอแล้วก็ออกไปเพื่อภาวนา เพื่อให้พระที่มาใหม่ได้มีโอกาสพักเพื่อศึกษาธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่น ด้วย
ระหว่างเดินทางออกจากสกลนคร ก็แวะจังหวัดนั่นจังหวัดนี้ ทางภาคอีสาน หลวงปู่ได้เดินย้อนกลับมาทางจันทบุรีอีกครั้ง จนถึงจังหวัดตราด และได้ไปปักกลดภาวนา ณ ถ้ำเขาสมิง หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ถ้ำเขาสมิงนี้มีลักษณะเป็นเขาเตี้ย ๆ อยู่ลูกหนึ่ง อยู่ห่างจากที่ตั้ง อำเภอเขาสมิงปัจจุบันนี้ประมาณ 3 กิโลเมตร บรรยากาศเหมาะอย่างยิ่งแก่การภาวนา หลวงปู่จึงได้ เลือกสถานที่นี้ภาวนา จนในวันที่7ของการพักภาวนา อยู่ที่นี่ หลวงปู่ ได้พบความอัศจรรย์ แห่งจิต ขณะภาวนา ว่า ได้เห็นพระอรหันต์ เป็แสนๆล้านรูป นั่งอยู่ตรงหน้า แต่ทำไม่เราถึงไปนั่งตรงนั้นไม่ได้ จิตก็เริ่มพิจารณาธรรมะของสัตบุรุษ ว่า เป็นเช่นไรหนอ เราไม่ได้ละเลยการปฎิบัติ ทรงในศีลสังวร เสมอ จนจิตพิจารณาย้อนไปยังบุปเพชาติ จึงเห็นว่า ได้ปรารถนาพระปัจเจกพุทธเจ้าไว้ หลังจากนั่น ท่านจึงได้ตั้งจิต รวมเป็นกำลังเดียว น้อมจิตสักการะธรรม ขอถอนจากการปรารถนาพระปัจจเกพุทธเจ้าเถิด บัดนั่น ท่านเล่าว่า เสียงที่เกิดขึ้นในจิต ดังสนั่น เหมือนฟ้าผ่ามากลางกาย แผ่นดินเหมือนโลกนี้จะพังให้ได้ กายหายไปเหลือแต่จิต ที่สว่างจ้า เหมือนแสงอาทิตย์ นับประมาณมิได้ ใจผ่องใส หาอะไรเปรียบเสมอเหมือนไม่ได้แล้ว พระนิพพาน เป็นบรมสุข อันเกษมอย่างนี้หรือ
จนปีพุทธศักราช 2498 ถึง 2502 ท่านดำริกับหลวงปู่วิริยังค์ สิรินธโร วัดธรรมมงคล กรุงเทพมหานครว่า ท่านวิริยังค์ อาตมาภาพสร้างในใจสมบูรณ์แล้ว พร้อมที่สร้างภายนอกแล้ว หลังจากนั้นหลวงปู่จึงได้ชักชวน หลวงปู่วิริยังค์ สมัยนั้น มาร่วมสร้างโบสถ์กับท่าน ณ วัดสารนารถธรรมาราม อำเภอแกลง จังหวัด ระยอง และเสนาสนะอื่นๆอีกหลายอย่าง และได้อาราธนานิมนต์ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ซึ่งหลวงปู่ให้ความเคารพว่าเป็นพระอาจารย์ของท่าน และสหธรรมิก อีกอาทิเช่น
หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
หลวงปู่ขาว อนาลโย
หลวงปู่คำดี ปภาโส
หลวงปู่คำดี ปัญโญภาโส
หลวงปู่มหาปิ่น ปัญญาพโล
มาร่วมสวดฉลองอุโบสถ หลังจากสร้างเสนาสนะ ระหว่างนั้น ท่านได้ชักชวนหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และหมู่คณะว่า อาตมาภาพ ได้รู้แล้ว เห็น ขอความเมตตาครูอาจารย์ ได้โปรดลงภาคใต้ เพื่อโปรดชาวภาคใต้ ให้รู้ธรรมะของสัตบุรุษ ด้วยเถิดอาตมาภาพขอเป็นผู้นำทางกองทัพธรรมสายพระอาจารย์มั่น ลงภาคใต้เอง เมื่อทุกอย่างสมบูรณ์แล้ว ท่านอาศัย ช่วงเช้ามืด ช่วงออกไปบิณฑบาต เพื่อหนี ออกจากวัดที่นั่น เพราะ มีชาวบ้านและคณะสงฆ์ต้องการให้ท่านเป็นเจ้าอาวาส แต่ท่านไม่ต้องการ จึงได้หนีออกจากวัดสารนารถธรรมาราม เพื่อมุ่งหน้าสู่บ้านเกิด อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เพื่อพักภาวนาและผักผ่อนก่อน โดย คณะกองทัพธรรมได้พักบนยอดเขา ณ วัดเสกขาราม อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร และ เดินทางลงจังหวัด พังงา กระบี่ ภูเก็ต เพื่อตีทัพธรรม ตอนล่างของภาคใต้ก่อนและค่อยขยับขึ้นมาถึงชุมพร แต่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่ทางภาคใต้ ยังไม่เข้าใจกับการสร้างความมั่นคงภายใน ความมั่นคงของจิต ให้แข็งแรง ไม่หวั่นไหว ต่อสภาวะโลก ระหว่างลงภาคใต้นั่น ถึงแม้จะมีพระภาคใต้คือหลวงปู่ลงไปด้วย เพื่อสื่สาร ภาษาใต้กับคนใต้ ก็ยังโดนเอาก้อนหินปา ไล่ตี โดนขับไล่ ออกจากพื้นที่จังหวัดดังกล่าว จนหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี บอกว่า เราต้องอดทน อดข้าว อดน้ำ กลางป่ามาแล้ว แค่นี้ เราต้องอดทนให้ได้ จนในที่สุด ความขันติ ความอดทนนี้ เอง จนทำให้กองทัพธรรมสายพระอจารย์มั่น ตีภาคใต้ได้สำเร็จ ต่อมา ท่านจึงได้กราบลาพระอาจารย์กลับจังหวัดชุมพร บ้านเกิดก่อน แต่เมื่อท่านเดินทางมาถึงก็ต้องมีเหตุให้มาเป็นเจ้าอาวาส ที่วัดเสกขาราม อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร อยู่ดี ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2503 ถึงปี 2523
ต่อมาท่านได้ลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาส ไปสร้างสำนักปฎิบัติธรรม สวนป่านาพญาธรรมาราม เพื่อให้เป็นสถานที่พักภาวนาของพระภิกษุและญาติโยม และในปีพุทธศักราช 2531 ถึง 2555 ได้มาดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดโตนด อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ต่อมาในปี พุทธศักราช 2536 ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอหลังสวน ธรรมยุติ ชั้นเอก ในราชทินนาม พระครูมงคลคณานุรักษ์
พระครูมงคลคณานุรักษ์ (หลวงปู่มหาผิน สุมโน) นั่น เป็นพระเถระผู้มีวินัยอันเคร่งครัด ท่านเคยกล่าวกับศิษย์ท่านหนึ่งว่า พระเดี๋ยวนี้ ไม่ค่อยสนใจศีลข้อเล็กน้อยๆ บอกว่าไม่เป็นไร เราเกิดมาจะตายแล้ว ใบไม้หล่นร่วง ไม่เห็นมีใครเอาไปติดได้อีก ศีลก็เหมือนกัน เมื่อร่วงแล้ว ปลงไม่ได้ มีแต่ทำตัวเองให้เป็นปกติของใจไม่ให้ผิดอีก ก็เหมือนรอให้แตกใบอ่อนออกมาใหม่ อะไรที่ไหนได้ปัจจุบัน พระส่วนใหญ่ ถ้าเป็นต้นไม่ไม่มีใบเลย หลวงปู่ท่านเป็นพระที่สมถะ เรียบง่าย สัดโดษมีความเมตตายิ่ง กับทุกท่านที่เข้าพบ ท่านเป็นพระมหาเถระผู้ชรา ที่จิตใจเปี่ยมไปด้วยเมตตาอย่างหาที่สุดมิได้ แม้แต่เล็บท่านที่ลูกศิษย์ท่านได้เก็บไว้ ก็แปรกลายเป็นพระธาตุ สมัยขณะท่านทรงธาตุขันธ์อยู่
องค์หลวงปู่ได้เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2555 เวลา 21.16 นาที ณ โรงพยาบาลหลังสวน อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ด้วยสิริอายุ 95 ปี 11 เดือน 11วัน และได้ทำการถวายพระราชทานเพลิงสรีระสังขารหลวงปู่มหาผิน สุมโน เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พุทธศักราช 2555 หลังจากถวายพระราชทานเพลิงแล้วนั้น อัฐิธาตุได้แปรสภาพเป็นพระธาตุอย่างไม่มีข้อสงสัย
หลวงปู่พระมหาผิน สุมโน วัดโตนด อำเภอหลังสวน ชุมพร อายุ 96 ปี มรณภาพแล้ว เมื่อเวลา 21.16 น. วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2555 ที่โรงพยาบาลหลังสวน
หลวงปู่มหาผิน สุมโน นิพพานไปแล้วพ้นวัฏสงสารผ่านไกล
ไม่กลับมาวนหมุนเวียนเปลียนแปรเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกแล้วอนันตการ
ขอบารมีหลวงปู่มหาผินบันดาลโชคให้กับลูกหลาน
ผู้ศรัทธาหลวงปู่ขอให้ได้มีทางบันไดทองคำ ล้ำเมคินก้าวจากดินสู่นิมมานรดี รวมทั้งสิ้นวิปโยค
หมดทุกข์ด้วยบารมีหลวงปู่มหาผิน ด้วยเทอญ
ขอกราบแทบเท้าองค์พ่อแม่ครูอาจารย์พระอรหันต์
ด้วยความเคารพอย่างสูงสุดเหนือชีวิตนี้ด้วยเศียรเกล้า
พระอรหันต์มหาเถระผู้ทรงความดี ผู้ทรงศีลอันบริสุทธิ์ธาตุขันธ์แปรเป็นพระธาตุ ขณะที่องค์ท่านยังมีชีวิตอยู่
จิตใจสำคัญน่ะ สำคัญกว่ากายแต่มนุษย์มันโง่น่ะ หลงกาย ไม่สนจิตสนใจ พอจิตตกอับ แล้วทำใจไม่ได้ มัวหาพระ เทพ พรหม มันช่วยไม่ได้หรอก เราต้องช่วยตัวเอง ด้วย ทาน ศีล ภาวนา กันน่ะ
บางคนหลงรูป ว่า สวย หล่อ งาม กันทั้งนั้น แต่ข้างในดูไม่ได้จริงๆน่ะ คนเวลาเจอกันเขาดูกาย รูป กัน แต่อริยะ เจอกัน เข้าดูถึงจิตถึงใจน่ะ ดูแลจิตดูแลใจกันบ้าง เวลาอริยะ จะอายเขาน่ะ รูปงามแต่จิตใจทรามจำกันไว้ น่ะท่านทั้งหลาย สอนมาเพื่อท่านทั้งหลายจริง ๆ
รูปเราก็ศักดิ์สิทธิ์นะอย่า ทำเล่น ที่อาตมาให้สร้างเหรียญนี้ขึ้นมา ไม่ใช่อยากดังหรอกนะ แต่อาตมาให้สร้างเพราะ คนที่มีบุญสัมพันธ์กับอาตมา จะได้มีเหตุและปัจจัย ร่วมสร้างกับอาตมา นับว่าครั้งสุดท้ายของความสัมพันธ์กันแล้วนะ
๒๘ พระอรหันต์ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์
http://luangpumun.blogspot.com
http://luangpumun.blogspot.com
เฟสบุ๊คเพื่อสนทนาปัญหาธรรมะและเผยแผ่ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และโอวาทธรรม คำสอน พ่อแม่ครูอาจารย์พระอรหันต์
ทุกชีวิตมีเวลาอันจำกัด จงอย่าช้ารีบเร่งทำความดี
โอวาทธรรมหลวงปู่มหาผิน
"ปัจจัยงินทองที่เขา ทำบุญกันมา ทอดผ้าป่า กฐิน
ให้นั้นใหันี่ เป็นเงินบูรณะวัด ไม่ใช่บูรณะเรา หากเราจะเป็นอะไรไป
ให้ใช้เงินที่เขาให้เรา รักษาเรา ไม่ใช่เอาเงินวัดมาบูรณะเรา มันต้องบูรณะวัด
จำกันไว้นะ""รูปเราก็ศักดิ์สิทธิ์นะอย่าทำเล่น ที่อาตมาให้สร้างเหรียญนี้ขึ้น ไม่ใช่อยากดังหรอกนะ แต่อาตมาให้สร้างเพราะ คนที่มีบุญสัมพันธ์กับอาตมา จะได้มีเหตุและปัจจัย ร่วมสร้างกับอาตมา นับว่าครั้งสุดท้ายของความสัมพันธ์กันแล้วนะ"
8มีนาคม2555เวลา18.26น.(ท่านได้ให้ลูกศิษย์สร้างพระผงแจกในงานพระราชทานเพลิงศพท่านครับ ท่านบอกจะละสังขารอายุ๙๖ ตอนนี้๙๕ แล้วครับ)
"อย่าเชื่อใครง่ายๆน่ะ เชื่อว่านั้นอรหันต์ นั้นบรรลุ นั้นนิพพาน จนกว่าเราจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ดีพอ ไม่ใช่ดูด้วยตา มันต้องดูด้วยจิตด้วยใจ อะไรเดียวนี้ พอบอกที่นั้นดี แห่กันไป เต็มไปหมด ใช้ กาลามสูตร กันบ้างน่ะ"
"พระทั้งหลายจำกันไว้นะ นรกมันใหญ่มากแต่ตอนนี้จะแคบแล้ว พระตกนรกกันเยอะ อย่าละทิ้งพระธรรมวินัยข้อเล็กๆ พอผิดแล้วบอกว่าปลง ขอใหม่ ใบไม้ร่วงไม่เห็นมีใครเอามาติดที่ต้นได้เลย "
" พระผงอย่าทำให้มากเลย อาตมา พิจารณาแล้วเราไม่ค่อยมีใครรู้จักหรอก ถ้าสร้างมากก็เป็นภาระปัจจัย ไปรบกวนคนอื่นมากๆเดียวเขาจะใส่ความเอานะ อาตมาขออนุโมทนากับเธอที่ทำเพื่ออาตมา ทำน้อยๆก็พอ เหรียญเราไม่มีใครเอาหรอก เธอเอาไปนะ มันจะมีคุณค่าแก่เธอต่อไปในข้างหน้า"
"สิ่งไหนที่ทางโลกบอกว่าบริสทธิ์ ยังไม่เท่าความบริสุทธิ์แห่งจิตแห่งใจ ไม่มีจริงๆๆน่ะ จิตใจบริสุทธิ์ไปที่ไหนก็บริสุทธิ์ จำกันไว้น่ะ
เราไม่ได้อยู่อีกนานเท่าไหรหรอกน่ะ"
"อย่าไปบอกบุญกับคนที่ไม่ศรัทธาอาตมาเลย เป็นกรรมไปเปล่าๆ ที่อยู่กรรมของเขาไม่ใช่น้อยนะ แล้วมาว่าอาตมาอีก ว่าโยมหมออีก กล่าวว่า หาตังค์ หาเงิน อะไรกันอีก ไปบอกเขาด้วยนะหมอ อาตมาไม่มีโทษ แต่กรรมจะเอาโทษเอา "
"ขอขอบใจที่ทุกคนทุกท่าน ที่ร่วมกันเป็นหนึ่ง ทำเพื่ออาตมานั้น ไม่ว่าพระผง และพยายามที่จะรักษาตัวอาตมา จงจำกันไว้ว่า ตอนนี้95 มีแต่รอวันเวลาของธาตุสลายไป หากทุกคนทุกท่าน ประสงค์จำนงหมายสิ่งใด ขอสิ่งนั้นสำเร็จ ด้วยอำนาจแห่งศรัทธาที่ทำเพื่ออาตมานะ"
"แม่นะ ยอมตายเพื่อลูกนะ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ คำว่าแม่สูงนะ ท่านเป็นพระอรหันต์ที่ถูกลืม ส่วนใหญ่พอบอกที่ไหน อรหันต์แห่กันไปเป็นโขลงๆ แล้วอรหันต์ในบ้านล่ะ ถวายอะไรหรือยัง ก่อนท่านตาย "
"คำว่าคน มาจากร้อยพ่อพันแม่ สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ สันดาน มันต่างกันนะ การคบเพื่อนคบฝูงก็เช่นกัน มันต้องการอะไรในใจมัน เรารู้ยากสำหรับคนนะ"
" บางคนหลงรูป ว่า สวย หล่อ งาม กันทั้งนั้น แต่ข้างในดูไม่ได้จริงๆน่ะ คนเวลาเจอกันเขาดูกาย รูป กัน แต่อริยะ เจอกัน เข้าดูถึงจิตถึงใจน่ะ ดูแลจิตดูแลใจกันบ้าง เวลาอริยะ จะอายเขาน่ะ รูปงามแต่จิตใจทรามจำกันไว้น่ะท่านทั้งหลาย สอนมาเพื่อท่านทั้งหลายจริงๆ "
"จิตใจสำคัญน่ะ สำคัญกว่ากายแต่มนุษย์มันโง่น่ะ หลงกาย ไม่สนจิตสนใจ พอจิตตกอับ แล้วทำใจไม่ได้ มัวหาพระ เทพ พรหม มันช่วยไม่ได้หรอก เราต้องช่วยตัวเอง ด้วย ทาน ศีล ภาวนา กันน่ะ "
ท่านบอกบอกลูกศิษย์ไว้ว่าท่านจะละสังขารตอนอายุ๙๖ปีครับ ตอนนี้ท่าน๙๕แล้วสุขภาพท่านไม่ค่อยแข็งแรงพี่น้องทั้งหลายรีบไปกราบรีบไปทำบุญรีบไปฟังธรรมจากท่านนะครับ
เกศา หลวงปู่มหาผิน สุมโน
เล็บ หลวงปู่มหาผิน สุมโน แปรเป็นพระธาตุบางส่วน
รูปถ่ายหลวงปู่มหาผิน สุมโน และตะกรุดอุดผงข้างในเชือกถักบาตรหลวงปู่และเกศา(ผมเลี่ยมพลาสติกห้อยคอครับ)